ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อพูดถึง “ พิมเสน ” ขึ้นมาแล้วมักจะใช้เป็นเครื่องหอมกันอย่างกว้างขวาง โดยที่จะนำมาใส่ในถุงผ้าบาง ๆ ตาข่าย มีโบเล็ก ๆ ผูก สีสันสดใสต่างกันออกไป แต่ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วสิ่งนี้เป็นหนึ่งในสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณล้นเหลือ แต่จะมีสรรพคุณอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยดีกว่า
รู้จักสมุนไพรไทย “ พิมเสน ”
พิมเสน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pogostemon calslin Benth. จัดอยู่ในวงศ์ Labiatae โดยที่จะเป็นพืชมีลำต้นเล็ก ตรง มีใบเลี้ยงเดี่ยวลักษณะรูปไข่ ขอบใบเป็นซี่ หรือรอยหยัก มีขนเป็นเส้นเล็ก ๆ หนาแน่น ดอกจะมีลักษณะเป็นช่อ เจริญเติบโตออกมาจากซอกใบ และที่ยอดก็มีผลเป็นลักษณะรี ๆ ขนาดเล็ก แข็ง โดยทั้งต้น ไม่ว่าจะ กิ่งก้าน ใบ ราก ลำต้นก็จะมีน้ำมันหอมระเหยอยู่เต็มไปหมด จึงเป็นที่มาของการนำมาทำเป็นเครื่องหอมต่าง ๆ ไม่ว่าจะ ครีมอาบน้ำ สบู่ ขี้ผึ้งทาปาก น้ำอบไทย ยาดม ยาหม่อง ฯลฯ
แล้วสมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยด้านอะไรบ้าง?
รู้จักที่มาที่ไป ลักษณะของพิมเสนกันแล้ว เชื่อว่ามีหลายคนที่อยากรู้ถึงสรรพคุณที่น่าสนใจ ว่ามีส่วนช่วยด้านอะไรบ้าง? แน่นอนว่าเราไม่พลาดรวบรวมมาฝาก คือ
- แก้เป็นผมวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด หัวใจอ่อนแรง ทำให้เกิดความชุ่มชื้นมากขึ้น
- ช่วยดับร้อนให้กับร่างกายของเรา ช่วยทะลวงทวารทั้ง 7 ได้อย่างดี
- ช่วยให้เกิดความง่วงซึม ระงับความกระวนกระวาย
- ช่วยกระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมอง
- ช่วยแก้ปากเปื่อย เหงือกบวม ปากเป็นแผล หู-คออักเสบ
- ช่วยเป็นยาแก้ไอชั้นดี แก้หลอดลมอักเสบ ตามตำรายาคือใช้พิมเสน 2 กรัม ขี้ผึ้ง 3 กรัม ทำเป็นยาหม่องได้ โดยเอามาทาที่ลำคอ จมูก ช่วยบรรเทาอาการดังกล่าว
- ใช้เป็นยาขับเหงื่อ ขับเสมหะ ช่วยให้ทอนซิลอักเสบหายได้ง่ายมากขึ้น
- ช่วยขับลม แก้จุกเสียดแน่นท้อง ทำให้เรอออกมา ไม่ทำให้ปวดท้องอยู่อย่างนั้น
- ใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้อักเสบได้ดี
- ใช้รักษาแผลสด หรือแผลเนื้อร้าย ฆ่าเชื้อโรคผิวหนังต่าง ๆ ได้อย่างดี
อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการใช้งานพิมเสนอยู่ด้วย คือหากเป็นสตรีมีครรภ์ห้ามกินอย่างเด็ดขาด การเก็บควรต้องอยู่ในภาชนะที่มีฝาปิดแน่นมิดชิด และต้องเก็บไว้ในที่แห้ง หรือมีอุณหภูมิต่ำ และต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมด้วย เพราะหากใช้เกินขนาดอาจทำให้ความจำสับสน คลื่นไส้อาเจียนได้
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็หวังว่าทุก ๆ คนจะเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับอีกสมุนไพรไทยอย่าง “ พิมเสน ” มากขึ้น และหากต้องใช้ก็อย่าลืมศึกษาข้อควรระวังให้ดี หรืออาจจะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรก่อนก็ได้ ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมาภายหลัง
Pageviews | 456,599 view(s) |
Visitors | 323,952 time(s) |
Open since | Oct 7, 2019 |
Last updated | Aug 27, 2025 |